วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558

# 2 ซูเราะฮฺอัลกอลัม ตอนที่ 1

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

เช้าวันนี้อ่านตัฟซีรซูเราะฮฺอัลกอลัม อายะฮฺ 1-7 ซูเราะฮฺอัลกอลัมเป็นซูเราะฮฺลำดับที่ 68 มีทั้งหมด 52 อายะฮฺ เป็นซูเราะฮฺที่ถูกประทานที่มักกะฮฺ หรือที่เรียกกันว่า "มักกียะฮฺ" คำว่า "กอลัม" แปลว่า ปากกา

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ


(1) นูน ขอสาบานด้วยกอลัม (ปากกา) และสิ่งที่พวกเขาขีดเขียน
(2) ด้วยความโปรดปรานของพระผู้อภิบาลของเจ้า เจ้าหาได้เป็นผู้วิกลจริตไม่ (ตามที่พวกเขากล่าวหา)
(3) และแท้จริงสำหรับเจ้านั้นคือรางวัล (ที่ยิ่งใหญ๋และต่อเนื่อง) ไม่ขาดสาย
(4) และแท้จริงเจ้านั้นอยู่บนจริยธรรมอันยิ่งใหญ่
(5) แล้วเจ้าจะได้เห็น และพวกเขา (ผู้ปฏิเสธ) ก็จะได้เห็นเช่นเดียวกัน
(6) ว่าใครกันแน่ที่วิกลจริต
(7) แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้านั้น พระองค์ทรงรู้ดียิ่งว่าผู้ใดหลงออกไปจากทางของพระองค์และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงผู้ที่ได้รับทางนำ

เกี่ยวกับอักษรย่อในอัลกุรอานนั้น (อิมามอิบนุ กะษิรบอกว่า) ได้อธิบายชัดเจนแล้วก่อนหน้านี้ในช่วงต้นของการอรรถาธิบายซูเราะฮฺอัลบากอเราะฮฺดังนั้นพระดำรัสของอัลลอฮฺตะอาลาที่ทรงตรัสว่า "นูน" ก็ เป็นเช่นเดียวกับพระดำรัสที่ทรงตรัสว่า "ศอด" หรือ "กอฟ" หรือ อักษรย่ออื่นๆ  ดังตัวอย่างข้างต้นที่ปรากฏในส่วนต้นของซูเราะฮฺอัลกุรอานหลายซูเราะฮฺและการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวครบถ้วนสมบูรณ์แล้วไม่จำเป็นต้องมาถกในที่นี้อีก

และพระบัญชาที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า "วัลกอลามี" ความว่า "ขอสาบานด้วยกอลัม (ปากกา)" นั้นในที่นี้หมายถึงปากกาที่ใช้เขียน ดังพระบัญชาของอัลลอฮฺ ตะอาลา ที่ตรัสความว่า "จงอ่านเถิด พระผู้อภิบาลของเจ้านั้นทรงใจบุญยิ่ง ผู้ทรงสอนการใช้กอลัม (ปากกา) ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้" (อัลอาลัก 3-5) คำสาบานของอัลลอฮฺข้างต้นนี้ก็เพื่อจะย้ำเตือนมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งถูกสร้าง (มัคลูก) ของพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ได้ให้การอนุเคราะห์ความรู้แก่พวกเขา ด้วยสอนการขีดเขียน ซึ่งการทำเช่นนั้นทำให้มนุษย์ได้รับความรู้ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงบัญชาว่า "วะมายัสตูรูน" ซึ่งมีความหมายว่า "และสิ่งที่พวกเขาขีดเขียน"  

อิบนุ อับบาส มูญะฮิด และเกาะตาดะฮฺ กล่าวว่า "นี่คือ สิ่งที่พวกเขาขีดเขียน" 

อบู ฎุฮารายงานจากอิบนุ อับบาสว่า "วะมายัสตูรูน" นั้น หมายถึง "สิ่งที่พวกเขาได้กระทำ"

พระบัญชาของอัลลอฮฺความว่า "ด้วยความโปรดปรานของพระผู้อภิบาลของเจ้า เจ้าหาได้เป็นผู้วิกลจริตไม่ (ตามที่พวกเขากล่าวหา)" หมายถึง อัลหัมดุลิลละฮฺ เจ้าไม่ใช่คนบ้าอย่างที่พวกโง่เขลาเบาปัญญาจากพวกของเจ้ากล่าวหาและปฏิเสธสิ่งที่เจ้านำมายังพวกเขา นั่นคือทางนำ และสัจจธรรมอันชัดแจ้ง กระนั้นพวกเขาก็กล่าวว่าเจ้าบ้าเพราะสิ่งที่เจ้านำมา

"และแท้จริงสำหรับเจ้านั้นคือรางวัล (ที่ยิ่งใหญ๋และต่อเนื่อง) ไม่ขาดสาย" นั่นคือ เจ้าจะได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่และมากมายมหาศาลที่จะไม่มีวันขาดสาย และสูญสิ้นไปเนื่องจากการเผยแผ่สารแก่มวลมนุษย์และความอดทนของเจ้าต่อการต่อต้านของพวกเขา


คำว่า "ฆ็อยรูมัมนูน" หมายถึง จะไม่มีวันขาดสะบั้น มุญะฮิดกล่าวว่า "ฆ็อยรูมัมนูน" หมายถึง ไม่มีที่สิ้นสุด

และพระบัญชาของอัลลอฮฺ ตะอาลา ความว่า "และแท้จริงเจ้านั้นอยู่บนจริยธรรมอันยิ่งใหญ่"อัลเอาฟีย์รายงานจากอิบนุ อับบาสว่า "และแท้จริงเจ้านั้นอยู่บนศาสนาอันยิ่งใหญ่ นั่นคือ อิสลาม"  มุญะฮิด อบูมาลิก อัสสุดดีและอัรเราะบิอฺ บิน อนัสก็กล่าวเช่นเดียวกันนี้ อัฎฎอลฮักและอิบนุ เซด กล่าวว่าอาษิยะฮฺกล่าวว่า "แท้จริงเจ้าอยู่บนจริยธรรมอันยิ่งใหญ่" 

มะอฺมัรเล่าจากเกาะตาดะฮฺว่า อาอิชะฮฺเคยถูกถามเกี่ยวกับจริยธรรม (อัคลาก) ของท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ เธอตอบว่า "อัคลาก (จริยธรรม) ของท่านคืออัลกุรอาน"

นั่นหมายความว่าบุคลิกภาพและอุปนิสสัยของท่านนบีศ็อลฯได้รับอิทธิพลจากอัลกุรอานอะไรก็ตามที่อัลกุรอานสั่งใช้ท่านจะปฏิบัติ และอะไรก็ตามที่อัลกุรอานสั่งห้ามท่านจะละทิ้งทันที พร้อมๆกันนี้อัลลอฮฺได้ให้ท่านซึ่งจริยธรรมอันยิ่งใหญ่ เช่น ความอาย ความเมตตา ความกล้าหาญ การให้อภัย รวมถึงความอดทน รวมถึงมารยาทที่ดีงามต่างๆดังที่ได้รับการยืนยันในหนังสือ "อัศศอหิหัยนฺ" จากอนัสเขากล่าวว่า "ฉันเคยรับใช้ท่านนบี ศ็อลฯ เป็นเวลา 10 ปี ตลอดระยะเวลาดังกล่าวท่านไม่เคยกล่าวว่า "ฮึ" แก่ฉันแม้แต่ครั้งเดียว และท่านก็ไม่เคยตำหนิสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ฉันทำแล้วด้วยการกล่าวว่า ทำไมเจ้าทำแบบนั้น? และสิ่งที่ฉันยังไม่ได้ทำด้วยการกล่าวว่า "ทำไม่เจ้าจึงไม่ทำมัน?" รอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ เป็นผู้ที่มีจริยธรรมที่งดงามที่สุดท่านไม่เคยสวมผ้าที่ทอจากขนนกและผ้าไหม ไม่มีสิ่งใดจะนุ่มนวลกว่าฝ่ามือของท่านรอซู ลุลลอฮฺ ศ็อลฯ และฉันไม่เคยได้ดมกลิ่นหอมและน้ำหอมที่มีกลิ่นหอมมากกว่าเหงื่อของท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ

อิมามอัลบุคอรีรายงานจากอบู อิสฮาก เขากล่าวว่า ฉันเคยได้ยินอัลบัรเราะอฺ กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺมีใบหน้าที่หล่อมาก และมีจริยธรรมที่งดงามอย่างยิ่ง ท่านไม่เตี้ยและไม่สูงมากเกินไป

และหะดิษที่กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวมีเยอะมาก  ในเรื่องนี้ อบูอีซา อัตติรมีซียฺได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวเป็นการเฉพาะในหนังสือ "อัชชามาอิล"

อิมามอะหมัดรายงานจากอาอิชะฮฺ เธอเล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺไม่เคยเฆี่ยนตีผู้รับใช้ท่านด้วยมือของท่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว และไม่เคยตีผู้หญิง รวมถึงท่านไม่เคยเฆียนตีสิ่งใดด้วยมือของท่าน เว้นแต่เมื่อท่านอยู่ในการญฺิฮาด (ต่อสู้ในแนวทางของอัลลอฮฺ) และท่านไม่เคยเลือกระหว่างสองสิ่งเว้นแต่ท่านจะเลือกสิ่งที่ท่านพอใจ นั่นคือ สิ่งที่ง่ายกว่า เว้นแต่จะเป็นการบาป ท่านเป็นผู้ที่ห่างไกลจากการบาปทั้งมวล ท่านไม่เคยแก้แค้นให้กับตัวท่านเองในเรื่องต่างๆ เว้นแต่สิ่งนั้นจะนำไปสู่การหมิ่นพระเกียรติของอัลลอฮฺ อัซซะวัจญญัล  และท่านจะแก้แค้นเพื่ออัลลอฮฺเท่านั้น  อิมามอะหมัดรายงานจากอบูฮูร็อยเราะฮฺ เขากล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ กล่าวว่า "ฉันได้รับการแต่งตั้งมาเพื่อทำให้อัคลาก (จริยธรรม) สมบูรณ์ เฉพาะเขาคนเดียวเท่านั้นที่รายงานหะดิษนี้

และอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงบัญชาว่า "แล้วเจ้าจะได้เห็น และพวกเขา (ผู้ปฏิเสธ) ก็จะได้เห็นเช่นเดียวกันว่าใครกันแน่ที่วิกลจริต" หมายความว่า เจ้าจะได้รู้ โอ้ มุหัมมัด และผู้ที่ต้อต้านและปฏิเสธเจ้าก็จะได้รู้ ใครกันแน่ที่บ้าและหลงทาง เจ้าหรือพวกเขา? ดังกล่าวนี้เป็นเช่นพระบัญชาของอัลลอฮฺ ตะอาลาที่ทรงตรัสความว่า "พรุ่งนี้พวกเขาจะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่พูดเท็จ อีกทั้งหยิ่งยะโส" (อัลกอมัร : 26) และเช่นเดียวกับพระบัญชาอื่น "...และแท้จริง ไม่เราก็พวกท่าน ที่อยู่บนแนวทางที่ถูกต้อง หรืออยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง" (อัสสะบะ : 24) อิบนุ ญุร็อยจญ์รายงานว่า อิบนุ อับบาสกล่าวเกี่ยวกับอายะฮฺนี้ว่า เจ้าและพวกเขาในวันกิยามะฮฺจะได้รู้ ในขณะที่อัลเอาฟีย์รายงานจากอิบนุ อับบาสว่า "ใครกันแน่ในระหว่างพวกท่านที่วิกลจริต?" ดังนั้น สิ่งที่นำเสนอโดยมุญะฮิดและคนอื่นๆ เกาะตาดะฮฺและคนอื่นๆ ใครกันแน่ในระหว่างพวกท่านที่วิกลจริต คือถูกทำให้หลงโดยไชฏอน คำว่า "มัฟตูน" หมายถึงคนที่ถูกให้ห่างไกลจากสัจจธรรมและหลงจากทางของมัน ฮูรุฟ "บา" ในพระบัญชา "บิอัยยิกุม"นั้นเพื่ออธิบายถึงเนื้อหาของการปฏิบัติในพระบัญชาของ อัลลอฮฺความว่า "แล้วเจ้าจะได้เห็น และพวกเขา (ผู้ปฏิเสธ) ก็จะได้เห็นเช่นเดียวกัน" ซึ่งความเข้าใจในที่นี้คือ เจ้าและพวกเขาจะได้เห็น หรือเจ้าและพวกเขาจะได้รู้ ใครกันแน่ในระหว่างพวกเจ้าที่วิกลจริต วัลลอฮฮูอะอฺลัม

ดังนั้นพระบัญชาของอัลลอฮฺ ตะอาลา ความว่า "แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้านั้น พระองค์ทรงรู้ดียิ่งว่าผู้ใดหลงออกไปจากทางของพระองค์ และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงผู้ที่ได้รับทางนำ" หมายถึงอัลลอฮฺทรงรู้ว่า กลุ่มไหนในระหว่างพวกท่านและผู้ใดที่ได้รับทางนำ และทรงรู้กลุ่มที่หลงออกไปจากสัจจธรรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น