วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

# 6 ซูเราะฮฺอัลกอลัม ตอนที่ 5

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

เช้านี้อ่านตัฟซีรซูเราะฮฺกอลัม อายะฮฺที่ 26
(26) ครั้นเมื่อพวกเขาเห็นมัน (สวนของพวกเขา) พวกเขากล่าวว่า แท้จริงพวกเราหลงทางแล้ว (คือพวกเขาเข้าใจว่าได้เข้าในสวนของคนอื่นเพราะสวนของพวกเขาไม่ใช่แบบที่เห็นเบื้องหน้าขณะนั้น)

หมายถึง เมื่อพวกเขาไปถึงสวนของพวกเขา สวนนั้นอยู่ในสภาพดังที่อัลลอฮฺ อัซวะญัลได้ตรัสไว้ (ดูอายะฮฺที่ 19-20)  ซึ่งก่อนหน้านี้สวนของพวกเขายังเขียวขจี มีดอกบานสะพรั่ง และผลของมันเต็มต้น แต่ ณ ขณะนี้สวนดังกล่าวของพวกเขาเป็นสีดำสนิท เสมือนหนึ่งว่าไม่เคยได้รับประโยชน์จากมันเลยแม้แต่นิดเดียว จนทำให้พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาไปผิดทางเสียแล้ว ด้วยการกล่าวว่า 

 "แท้จริง พวกเราหลงทางแล้ว"
หมายถึง พวกเรามุ่งจะไปยังสวนของพวกเรา แต่เราเดินไปผิดทาง เราจึงไปไม่ถึงสวนนั้นของพวกเรา ดังที่กล่าวโดยอิบนุ อับบาสและท่านอื่นๆ

จากนั้นพวกเขาก็กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงและยอมรับว่าสวนเหล่านั้นเป็นของพวกเขา พลางกล่าวว่า
(27) หามิได้ พวกเรา (ต่างหาก) เป็นผู้ถูกขัดขวาง (เสียเองจากการเก็บผลไม่ในสวนนั้น) 

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558

# 5 ซูเราะฮฺอัลกอลัม ตอนที่ 4

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

คืนนี้อ่านตัฟซีรซูเราะฮฺอัลกอลัม อายะฮฺที่ 25


(25) และพวกเขาก็ได้ออกไปแต่เช้าตรู่ ตั้งใจว่าจะขัดขวาง (คนยากจนขัดสนด้วยการเก็บผลไม้ให้หมดก่อนที่คนยากจนจะเข้าไปในสวนทั้งๆที่พวกเขาเป็น) ผู้มีความสามารถ (ที่จะให้การช่วยเหลือด้วยการแบ่งปันผลไม้ของพวกเขา)


"และพวกเขาก็ได้ออกไปแต่เช้าตรู่ ตั้งใจว่าจะขัดขวาง" 
หมายถึง อย่างแข็งกร้าว 
มูญะฮิดกล่าวว่า

"และพวกเขาก็ได้ออกไปแต่เช้าตรู่ ตั้งใจว่าจะขัดขวาง" 
หมายถึง อย่างจริงจัง 

อิกริมมะฮฺ กล่าวว่า ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว  อัชชะบีกล่าวว่า "อะลาหัรดิน" หมายถึง ปฏิเสธการแบ่งปันต่อคนยากจนขัดสน 
หมายถึง มีอำนาจทำในสิ่งที่พวกเขาคิด

# 4 ซูเราะฮฺอัลกอลัม ตอนที่ 3

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

เช้าวันนี้อ่านตัฟซีรซูเราะฮฺอัลกอลัม อายะฮฺที่ 17-24
(17) แท้จริง เราได้ทดสอบพวกเขา (มุชรีกีนมักกะฮฺ) เช่นเดียวกับที่เราได้ทดสอบเจ้าของสวน เมื่อพวกเขาสาบานว่า จะเก็บ (ผลไม้ของ) มันในตอนเช้าตรู่

ดังนั้น การที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ทรงแต่งตั้งนบีมูหัมมัด ศ็อลฯ ไปเชิญชวนผู้ปฏิเสธชาวกุเรชนั้นนับเป็นความเมตตาและความโปรดปรานต่อพวกเขา แต่พวกเขากลับกล่าวหาว่าท่านนบี ศ็อลฯ เป็นคนโกหก ขับไล่และทำร้ายท่านด้วยเหตุนี้อัลลอฮฺตะอาลา ได้ตรัสความว่า "แท้จริง เราได้ทดสอบพวกเขา(มุชรีกีนมักกะฮฺ)" นั่นคือการทดสอบพวกเขา "เช่นเดียวกับที่เราได้ทดสอบเจ้าของสวน" ที่มีผลไม้มากมายหลากหลายชนิด "เมื่อพวกเขาสาบานว่า จะไปเก็บ (ผลไม้ของ) มันในตอนเช้าตรู่" หมายถึง พวกเขาได้สาบานในระหว่างพวกเขาว่า ในวันพรุ่งนี้เช้าจะไปเก็บผลไม้แต่เช้ามืด (อันเนื่องจากความตระหนี่) เพื่อไม่ให้คนยากจนขัดสนรู้และมาขอดังที่เคยขอมาแล้ว 

(18) และพวกเขาไม่ได้กล่าวว่า "อินชาอัลลอฮฺ (หากอัลลอฮฺทรงประสงค์)"

จากสิ่งที่พวกเขาได้สาบานไป (โดยมีเจตนาแบบ) นั้น อัลลอฮฺได้ทรงทำให้พวกเขาละเมิดการสาบานของพวกเขาดังอายะฮฺข้างต้น (โดยลืมกล่าว อินชาอัลลอฮฺ [หากอัลลอฮฺทรงประสงค์]) 

และอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสต่อว่า 

(19)  ดังนั้น ความเสียหายก็ได้เกิดขึ้นแก่สวนนั้น (อันเป็นการลงโทษ) จากพระผู้อภิบาลของเจ้า ในขณะที่พวกเขากำลังนอนหลับอยู่

นั่นคือสวนดังกล่าวได้ประสบกับภัยภิบัติที่มาจากฟากฟ้า

(20) จนกระทั่งสวนนั้นได้กลายเป็นสีดำเช่นค่ำคืนที่มืดสนิท

อิบนุ อับบาสกล่าวว่า "นั่นคือ เป็นเช่นกลางคืนที่มืดมิด" อัษเษารีและอัสสุดดีกล่าวว่า "เป็นเช่นพืชผลในช่วงเก็บเกี่ยวที่แห้งเหี่ยว   อิบนุ อบีฮาติมรายงานจากอิบนุ มัสอูด เขากล่าวว่า "ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ กล่าวว่า จงหลีกเลี่ยงจากการทำชั่ว (มะศียาต) เถิด เนื่องจาก แท้จริงบ่าวคนหนึ่งจะทำบาปจนกระทั่ง     ริซกีของเขาถูกทำให้พร่องลง ทั้งๆที่ริซกีนั้นได้ถูกเตรียมไว้สำหรับเขา" จากนั้นรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ ก็ได้อ่านอายะฮฺ





"ดังนั้น ความเสียหายก็ได้เกิดขึ้นแก่สวนนั้น (อันเป็นการลงโทษ) จากพระผู้อภิบาลของเจ้า ในขณะที่พวกเขากำลังนอนหลับอยู่ จนกระทั่งสวนนั้นได้กลายเป็นสีดำเช่นค่ำคืนที่มืดสนิท" 

พวกเขาถูกห้ามจากสวนของพวกเขาเนื่องจากการทำบาปของพวกเขา
(21) แล้วพวกเขาก็ตะโกน (ปลุกกันและกัน) แต่เช้าตรู่

นั่นคือ เมื่อยามเช้ามาถึง บางส่วนจากพวกเขาก็เรียกอีกบางส่วน เพื่อออกไปเก็บผลไม้


(22)  จงเข้าไปในสวนของพวกท่านในตอนเช้าตรู่เถิด หากพวกท่านต้องการจะเก็บผลไม้

นั่นคือ หากพวกท่านต้องการจะไปเก็บผลไม้ มูญะฮิดกล่าวว่า "สิ่งที่พวกเขาปลูกคือต้นองุ่น"

(23)  แล้วพวกเขาก็พากันออกไป (อย่างเงียบๆ) พลางกระซิบเบาๆในระหว่างกัน

นั่นคือพูดกระซิบเบาๆในระหว่างวพวกเขา เพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน

ดังนั้น อัลลอฮฺ ตะบารอกาวะตาอาลาก็ได้เปิดเผยสิ่งที่พวกเขากระซิบต่อกัน ดังพระองค์ตรัสว่า

 (23-24) แล้วพวกเขาก็พากันออกไป (อย่างเงียบๆ) พลางกระซิบเบาๆในระหว่างกันว่า ขออย่าให้มีคนจนแม้แต่คนเดียวเข้าไปในสวนของท่านเลยในวันนี้"  

หมายถึง บางส่วนของพวกเขากล่าวกับอีกบางส่วนว่าท่านอย่าได้อนุญาตให้คนจนแม่แต่คนเดียวเข้าไปในสวนของพวกท่านเด็ดขาด

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2558

# 3 ซูเราะฮฺอัลกอลัม ตอนที่ 2

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

วันนี้อ่านตัฟซีรซูเราะฮฺอัลกอลัมต่อจากเมื่อวาน อายะฮฺที่ 8-16

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ


(8) ดังนั้น เจ้าอย่าได้ปฏิบัติตามบรรดาผู้ปฏิเสธ (อายะฮฺต่างๆของอัลลอฮฺ)
(9) พวกเขาใคร่ที่จะเห็นว่า หากเจ้าเนือยๆ พวกเขาก็จะเนือยๆ (ต่อเจ้าเช่นกัน)
(10) และเจ้าอย่าปฏิบัติตามทุกๆคนที่เป็นนักสาบานที่ต่ำช้า
(11) ผู้นินทาอีกทั้งตระเวนใส่ร้าย
(12) ผู้ขัดขวางการทำความดี ผู้ละเมิดฝ่าฝืน บาปหนา
(13) กักขฬะ ยิ่งกว่านั้นขึ้นชื่อในความชั่วร้าย
(14) นั่นเป็นเพราะเขามีทรัพย์สินและลูกหลานวงศ์วานมากมาย
(15) เมื่ออายาต (อัลกุรอาน) ทั้งหลายของเราถูกสาธยายแก่เขา เขากล่าวว่านิยายปรัมปราแต่เก่าก่อน
(16) ดังนั้น เราจะตีตราบนงวง (จมูก) ของเขา

อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงมีพระบัญชาว่าได้ทรงประทานความโปรดปรานแก่เจ้า ด้วยการประทานชะรีอะฮฺที่เที่ยงตรงตลอดจนจริยธรรมที่ยิ่งใหญ่แก่เจ้า "ดังนั้น เจ้าอย่าได้ปฏิบัติตามบรรดาผู้ปฏิเสธ (อายะฮฺต่างๆของอัลลอฮฺ) พวกเขาใคร่ที่จะเห็นว่า หากเจ้าเนือยๆ พวกเขาก็จะเนือยๆ (ต่อเจ้าเช่นกัน)" อิบนุ อับบาส กล่าวว่า "หากท่านเนือยๆ (ในการเชิญชวนต่อ)พวกเขา พวกเขาก็จะเนือยๆ(ในการต่อต้าน)ท่านมูญะฮิด กล่าวว่า "พวกเขาปรารถนาว่าหากเจ้าเนือยๆ หมายถึง เนือยๆต่อพระเจ้าของพวกเขา (มุชริกีน) และละทิ้งสัจจธรรมที่มีอยู่กับเจ้า"

ดังนั้น อัลลอฮฺทรงบัญชา "และเจ้าอย่าปฏิบัติตามทุกๆคนที่เป็นนักสาบานที่ต่ำช้า" ทั้งนี้เพราะผู้โกหกและต่ำช้าจะใช้การสาบานหลอกๆเพื่อกลบมัน และหาญกล้าใช้พระนามของอัลลอฮฺ ตะอาลา ในการสบถสาบานตลอดเวลาแม้จะไม่ใช่ที่ของมัน อิบนุ อับบาสกล่าวว่า คำว่า "อัลมาฮีน" หมายถึงคนโกหกหลอกลวง ในขณะที่มุญะฮิดว่า หมายถึงผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอ ส่วนอัลฮาซันกล่าวว่า ทุกๆคนที่ชอบสบถสาบานนั้นเป็นผู้หยิ่งยะโส ต่ำช้า อีกทั้งอ่อนแอ

และพระบัญชาของอัลลอฮฺ ตะอาลาคำว่า "ฮัมมาซีน" อิบนุ อับบาสและเกาะตาดะฮฺกล่าวว่า "นั่นคือคนที่ชอบการฆีบะฮฺ (นินทา)"  "อีกทั้งตระเวนใส่ร้าย" นั่นคือผู้ที่เดินอยู่ท่ามกลางผู้คนพร้อมโหมกระพือข่าวใส่ร้าย  ได้รับการยืนยันในบีนทึก "อัศศอหิหัยนฺ" จากหะดิษมูญะฮีดจากษาวูสจากอิบนุ อับบาสเขากล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ เคยไปเยี่ยมสองกูโบร์แล้วท่านกล่าวว่า
"ทั้งสองคน (ที่อยู่ในกูโบร์) นี้ กำลังถูกลงโทษ ทั้งสองคนดังกล่าวไม่ได้รับการลงโทษเนื่องจากทำบาปใหญ่หนึ่งจากสาเหตุของการถูกลงโทษคือไม่ปกปิดขณะถ่ายปัสวะ ส่วนสาเหตุอื่นคือชอบยุแหย่ให้เกิดผิดใจกัน"

หะดิษข้างบนรายงานโดยนักหะดิษบางส่วนในหนังสือของแต่ละคน อิมามอะหมัดรายงานจากฮามามว่าฮูซัยฟะฮฺกล่าวว่า ฉันเคยได้ยินท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ กล่าวว่า จะไม่ได้เข้าสวรรค์คนที่ชอบยุแหย่ให้เกิดความเข้าใจผิด รายงานโดยอัลญะมาอะฮฺ (นักหะดิษ) เว้นแต่อิบนุมาญะฮฺ

และพระบัญชาของอัลลอฮฺ ตะอาลา "ผู้ขัดขวางการทำความดี ผู้ละเมิดฝ่าฝืน บาปหนา"  นั่นคือ ปฏิเสธที่จะทำความดีจากสิ่งที่ครอบครองและมีอยู่ที่เขา"มุอฺตะดิน""ผู้ละเมิดฝ่าฝืน"ในการรับเอาสิ่งที่อนุมัติ (ฮาลาล) สำหรับเขาโดยอัลลอฮฺ เขาละเมิดฝ่าฝืนในสิ่งที่ชะรีอะฮฺกำหนดไว้  "อะษีม" "บาปหนา" เนื่องจากทำสิ่งที่ฮารอมสารพัด

และพระบัญชาของอัลลอฮฺ ตะอาลา "กักขฬะ ยิ่งกว่านั้นขึ้นชื่อในความชั่วร้าย"  คำว่า "อุตุล" หมายถึง คำพูดที่หยาบคาย ความหมายที่แท้จริงคือชอบสะสม (ทรัพย์สินเงินทอง) อีกทั้งตระหนี่ถี่เหนียว (ในการบริจาค) อิมามอะหมัดรายงานจากหะริษะฮฺ บิน วะหบฺกล่าวว่าท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ กล่าวว่า












"พวกท่านจะเอาไหมฉันจะบอกเกี่ยวกับบรรดาชาวสวรรค์พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้อ่อนแอถ้าพวกเขาสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ แน่นอนเขาจะเชื่อมั่น พวกท่านจะเอาไหม ฉันจะบอกเกี่ยวกับบรรดาชาวนรก ส่วนใหญ่พวกเขากักขฬะหยาบคาย เข้มแข็ง อีกทั่งหยิ่งยะโส”

วากิอฺกล่าวว่า ทุกๆผู้หยาบคายนั้นมักจะหยิ่งผยองและยะโส"รายงานโดยบุคอรีและมุสลิมในหนังสือ  "อัศศอหิหัยนฺ" และรายงานโดย"ญะมาอะฮฺ" นักหะดิษอื่นๆ ยกเว้นอบูดาวูด

ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้มีเยอะมาก ซึ่งทั้งหมดจะอ้างดังที่กล่าวแล้วทั้งสิ้น เพราะคำว่า "อัซซานีม" หมายถึงความเลื่องลือในความชั่วร้ายของเขาอันเป็นที่รับรู้ในสังคมและมักจะเรียกขานกันว่า "ลูกซินา"

พระบัญชาของอัลลอฮฺ ตะอาลา "เมื่ออายาต (อัลกุรอาน) ทั้งหลายของเราถูกสาธยายแก่เขา เขากล่าวว่านิยายปรัมปราแต่เก่าก่อน" 

อุปมาดังอัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า "นี่คือการตอบแทนในสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานแก่พวกเขาทั้งความร่ำรวยและลูกหลานกระนั้นหรือ? ด้วยการปฏิเสธและหันหลังให้กับอายาตของพระองค์ และกล่าวหาว่าอายาตทั้งหมดดังกล่าวเป็นเท็จและเอามาจากคนในยุคเก่าก่อน"

และในที่นี้อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ทรงตรัสความว่า "ดังนั้น เราจะตีตราบนงวง (จมูก) ของเขา" อิบนุ ญะรีร กล่าวว่า "เรา (อัลลอฮฺ) จะทำให้ปรากฏชัดเจน จนกระทั่งพวกเขาจะรู้อย่างชัดแจ้งและไม่มีสิ่งใดจากพวกเขาแม้แต่นิดเดียวถูกปกปิดซ่อนเร้น แม้จะเป็นตราบนปลายงวงก็ตาม" เช่นเดียวกันนี้เกาะตาดะฮฺกล่าวว่า "ดังนั้น เราจะตีตราบนงวง (จมูก) ของเขา"  และในรายงานหนึ่งจากเกาะตาดะฮฺ หมายถึง เครื่องหมายที่จมูก


วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558

# 2 ซูเราะฮฺอัลกอลัม ตอนที่ 1

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

เช้าวันนี้อ่านตัฟซีรซูเราะฮฺอัลกอลัม อายะฮฺ 1-7 ซูเราะฮฺอัลกอลัมเป็นซูเราะฮฺลำดับที่ 68 มีทั้งหมด 52 อายะฮฺ เป็นซูเราะฮฺที่ถูกประทานที่มักกะฮฺ หรือที่เรียกกันว่า "มักกียะฮฺ" คำว่า "กอลัม" แปลว่า ปากกา

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ


(1) นูน ขอสาบานด้วยกอลัม (ปากกา) และสิ่งที่พวกเขาขีดเขียน
(2) ด้วยความโปรดปรานของพระผู้อภิบาลของเจ้า เจ้าหาได้เป็นผู้วิกลจริตไม่ (ตามที่พวกเขากล่าวหา)
(3) และแท้จริงสำหรับเจ้านั้นคือรางวัล (ที่ยิ่งใหญ๋และต่อเนื่อง) ไม่ขาดสาย
(4) และแท้จริงเจ้านั้นอยู่บนจริยธรรมอันยิ่งใหญ่
(5) แล้วเจ้าจะได้เห็น และพวกเขา (ผู้ปฏิเสธ) ก็จะได้เห็นเช่นเดียวกัน
(6) ว่าใครกันแน่ที่วิกลจริต
(7) แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้านั้น พระองค์ทรงรู้ดียิ่งว่าผู้ใดหลงออกไปจากทางของพระองค์และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงผู้ที่ได้รับทางนำ

เกี่ยวกับอักษรย่อในอัลกุรอานนั้น (อิมามอิบนุ กะษิรบอกว่า) ได้อธิบายชัดเจนแล้วก่อนหน้านี้ในช่วงต้นของการอรรถาธิบายซูเราะฮฺอัลบากอเราะฮฺดังนั้นพระดำรัสของอัลลอฮฺตะอาลาที่ทรงตรัสว่า "นูน" ก็ เป็นเช่นเดียวกับพระดำรัสที่ทรงตรัสว่า "ศอด" หรือ "กอฟ" หรือ อักษรย่ออื่นๆ  ดังตัวอย่างข้างต้นที่ปรากฏในส่วนต้นของซูเราะฮฺอัลกุรอานหลายซูเราะฮฺและการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวครบถ้วนสมบูรณ์แล้วไม่จำเป็นต้องมาถกในที่นี้อีก

และพระบัญชาที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า "วัลกอลามี" ความว่า "ขอสาบานด้วยกอลัม (ปากกา)" นั้นในที่นี้หมายถึงปากกาที่ใช้เขียน ดังพระบัญชาของอัลลอฮฺ ตะอาลา ที่ตรัสความว่า "จงอ่านเถิด พระผู้อภิบาลของเจ้านั้นทรงใจบุญยิ่ง ผู้ทรงสอนการใช้กอลัม (ปากกา) ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้" (อัลอาลัก 3-5) คำสาบานของอัลลอฮฺข้างต้นนี้ก็เพื่อจะย้ำเตือนมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งถูกสร้าง (มัคลูก) ของพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ได้ให้การอนุเคราะห์ความรู้แก่พวกเขา ด้วยสอนการขีดเขียน ซึ่งการทำเช่นนั้นทำให้มนุษย์ได้รับความรู้ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงบัญชาว่า "วะมายัสตูรูน" ซึ่งมีความหมายว่า "และสิ่งที่พวกเขาขีดเขียน"  

อิบนุ อับบาส มูญะฮิด และเกาะตาดะฮฺ กล่าวว่า "นี่คือ สิ่งที่พวกเขาขีดเขียน" 

อบู ฎุฮารายงานจากอิบนุ อับบาสว่า "วะมายัสตูรูน" นั้น หมายถึง "สิ่งที่พวกเขาได้กระทำ"

พระบัญชาของอัลลอฮฺความว่า "ด้วยความโปรดปรานของพระผู้อภิบาลของเจ้า เจ้าหาได้เป็นผู้วิกลจริตไม่ (ตามที่พวกเขากล่าวหา)" หมายถึง อัลหัมดุลิลละฮฺ เจ้าไม่ใช่คนบ้าอย่างที่พวกโง่เขลาเบาปัญญาจากพวกของเจ้ากล่าวหาและปฏิเสธสิ่งที่เจ้านำมายังพวกเขา นั่นคือทางนำ และสัจจธรรมอันชัดแจ้ง กระนั้นพวกเขาก็กล่าวว่าเจ้าบ้าเพราะสิ่งที่เจ้านำมา

"และแท้จริงสำหรับเจ้านั้นคือรางวัล (ที่ยิ่งใหญ๋และต่อเนื่อง) ไม่ขาดสาย" นั่นคือ เจ้าจะได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่และมากมายมหาศาลที่จะไม่มีวันขาดสาย และสูญสิ้นไปเนื่องจากการเผยแผ่สารแก่มวลมนุษย์และความอดทนของเจ้าต่อการต่อต้านของพวกเขา


คำว่า "ฆ็อยรูมัมนูน" หมายถึง จะไม่มีวันขาดสะบั้น มุญะฮิดกล่าวว่า "ฆ็อยรูมัมนูน" หมายถึง ไม่มีที่สิ้นสุด

และพระบัญชาของอัลลอฮฺ ตะอาลา ความว่า "และแท้จริงเจ้านั้นอยู่บนจริยธรรมอันยิ่งใหญ่"อัลเอาฟีย์รายงานจากอิบนุ อับบาสว่า "และแท้จริงเจ้านั้นอยู่บนศาสนาอันยิ่งใหญ่ นั่นคือ อิสลาม"  มุญะฮิด อบูมาลิก อัสสุดดีและอัรเราะบิอฺ บิน อนัสก็กล่าวเช่นเดียวกันนี้ อัฎฎอลฮักและอิบนุ เซด กล่าวว่าอาษิยะฮฺกล่าวว่า "แท้จริงเจ้าอยู่บนจริยธรรมอันยิ่งใหญ่" 

มะอฺมัรเล่าจากเกาะตาดะฮฺว่า อาอิชะฮฺเคยถูกถามเกี่ยวกับจริยธรรม (อัคลาก) ของท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ เธอตอบว่า "อัคลาก (จริยธรรม) ของท่านคืออัลกุรอาน"

นั่นหมายความว่าบุคลิกภาพและอุปนิสสัยของท่านนบีศ็อลฯได้รับอิทธิพลจากอัลกุรอานอะไรก็ตามที่อัลกุรอานสั่งใช้ท่านจะปฏิบัติ และอะไรก็ตามที่อัลกุรอานสั่งห้ามท่านจะละทิ้งทันที พร้อมๆกันนี้อัลลอฮฺได้ให้ท่านซึ่งจริยธรรมอันยิ่งใหญ่ เช่น ความอาย ความเมตตา ความกล้าหาญ การให้อภัย รวมถึงความอดทน รวมถึงมารยาทที่ดีงามต่างๆดังที่ได้รับการยืนยันในหนังสือ "อัศศอหิหัยนฺ" จากอนัสเขากล่าวว่า "ฉันเคยรับใช้ท่านนบี ศ็อลฯ เป็นเวลา 10 ปี ตลอดระยะเวลาดังกล่าวท่านไม่เคยกล่าวว่า "ฮึ" แก่ฉันแม้แต่ครั้งเดียว และท่านก็ไม่เคยตำหนิสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ฉันทำแล้วด้วยการกล่าวว่า ทำไมเจ้าทำแบบนั้น? และสิ่งที่ฉันยังไม่ได้ทำด้วยการกล่าวว่า "ทำไม่เจ้าจึงไม่ทำมัน?" รอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ เป็นผู้ที่มีจริยธรรมที่งดงามที่สุดท่านไม่เคยสวมผ้าที่ทอจากขนนกและผ้าไหม ไม่มีสิ่งใดจะนุ่มนวลกว่าฝ่ามือของท่านรอซู ลุลลอฮฺ ศ็อลฯ และฉันไม่เคยได้ดมกลิ่นหอมและน้ำหอมที่มีกลิ่นหอมมากกว่าเหงื่อของท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ

อิมามอัลบุคอรีรายงานจากอบู อิสฮาก เขากล่าวว่า ฉันเคยได้ยินอัลบัรเราะอฺ กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺมีใบหน้าที่หล่อมาก และมีจริยธรรมที่งดงามอย่างยิ่ง ท่านไม่เตี้ยและไม่สูงมากเกินไป

และหะดิษที่กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวมีเยอะมาก  ในเรื่องนี้ อบูอีซา อัตติรมีซียฺได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวเป็นการเฉพาะในหนังสือ "อัชชามาอิล"

อิมามอะหมัดรายงานจากอาอิชะฮฺ เธอเล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺไม่เคยเฆี่ยนตีผู้รับใช้ท่านด้วยมือของท่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว และไม่เคยตีผู้หญิง รวมถึงท่านไม่เคยเฆียนตีสิ่งใดด้วยมือของท่าน เว้นแต่เมื่อท่านอยู่ในการญฺิฮาด (ต่อสู้ในแนวทางของอัลลอฮฺ) และท่านไม่เคยเลือกระหว่างสองสิ่งเว้นแต่ท่านจะเลือกสิ่งที่ท่านพอใจ นั่นคือ สิ่งที่ง่ายกว่า เว้นแต่จะเป็นการบาป ท่านเป็นผู้ที่ห่างไกลจากการบาปทั้งมวล ท่านไม่เคยแก้แค้นให้กับตัวท่านเองในเรื่องต่างๆ เว้นแต่สิ่งนั้นจะนำไปสู่การหมิ่นพระเกียรติของอัลลอฮฺ อัซซะวัจญญัล  และท่านจะแก้แค้นเพื่ออัลลอฮฺเท่านั้น  อิมามอะหมัดรายงานจากอบูฮูร็อยเราะฮฺ เขากล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ กล่าวว่า "ฉันได้รับการแต่งตั้งมาเพื่อทำให้อัคลาก (จริยธรรม) สมบูรณ์ เฉพาะเขาคนเดียวเท่านั้นที่รายงานหะดิษนี้

และอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงบัญชาว่า "แล้วเจ้าจะได้เห็น และพวกเขา (ผู้ปฏิเสธ) ก็จะได้เห็นเช่นเดียวกันว่าใครกันแน่ที่วิกลจริต" หมายความว่า เจ้าจะได้รู้ โอ้ มุหัมมัด และผู้ที่ต้อต้านและปฏิเสธเจ้าก็จะได้รู้ ใครกันแน่ที่บ้าและหลงทาง เจ้าหรือพวกเขา? ดังกล่าวนี้เป็นเช่นพระบัญชาของอัลลอฮฺ ตะอาลาที่ทรงตรัสความว่า "พรุ่งนี้พวกเขาจะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่พูดเท็จ อีกทั้งหยิ่งยะโส" (อัลกอมัร : 26) และเช่นเดียวกับพระบัญชาอื่น "...และแท้จริง ไม่เราก็พวกท่าน ที่อยู่บนแนวทางที่ถูกต้อง หรืออยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง" (อัสสะบะ : 24) อิบนุ ญุร็อยจญ์รายงานว่า อิบนุ อับบาสกล่าวเกี่ยวกับอายะฮฺนี้ว่า เจ้าและพวกเขาในวันกิยามะฮฺจะได้รู้ ในขณะที่อัลเอาฟีย์รายงานจากอิบนุ อับบาสว่า "ใครกันแน่ในระหว่างพวกท่านที่วิกลจริต?" ดังนั้น สิ่งที่นำเสนอโดยมุญะฮิดและคนอื่นๆ เกาะตาดะฮฺและคนอื่นๆ ใครกันแน่ในระหว่างพวกท่านที่วิกลจริต คือถูกทำให้หลงโดยไชฏอน คำว่า "มัฟตูน" หมายถึงคนที่ถูกให้ห่างไกลจากสัจจธรรมและหลงจากทางของมัน ฮูรุฟ "บา" ในพระบัญชา "บิอัยยิกุม"นั้นเพื่ออธิบายถึงเนื้อหาของการปฏิบัติในพระบัญชาของ อัลลอฮฺความว่า "แล้วเจ้าจะได้เห็น และพวกเขา (ผู้ปฏิเสธ) ก็จะได้เห็นเช่นเดียวกัน" ซึ่งความเข้าใจในที่นี้คือ เจ้าและพวกเขาจะได้เห็น หรือเจ้าและพวกเขาจะได้รู้ ใครกันแน่ในระหว่างพวกเจ้าที่วิกลจริต วัลลอฮฮูอะอฺลัม

ดังนั้นพระบัญชาของอัลลอฮฺ ตะอาลา ความว่า "แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้านั้น พระองค์ทรงรู้ดียิ่งว่าผู้ใดหลงออกไปจากทางของพระองค์ และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงผู้ที่ได้รับทางนำ" หมายถึงอัลลอฮฺทรงรู้ว่า กลุ่มไหนในระหว่างพวกท่านและผู้ใดที่ได้รับทางนำ และทรงรู้กลุ่มที่หลงออกไปจากสัจจธรรม

# 1 เกริ่นนำ

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ 

บรรดาการสรรเสริมเป็นของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ ขอความสันติสุขและความเมตตาจงมีแด่นบีมูหัมมัด ครอบครัวของท่าน บรรดาศอหาบะฮฺของท่านทั้งมวล ตลอดจนผู้ดำเนินตามซุนนะห์ของท่านนบี ศ็อลฯ นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ตั้งใจมานานแล้วดังที่ได้ตอบคำถามของอัลมัรฮูมมุหัมมัด ส่าเล็มเมื่อหลายสิบปีก่อนที่ถามว่า บั้นปลายชีวิตจะทำอะไร? ผมตอบไปว่าจะเขียนหนังสือ อย่างไรก็ตามหลังจากวันนั้น ก็ยังไม่ได้มีโอกาสทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ มีเขียนบ้างเล็กๆน้อยๆ แต่ก็ไม่สม่ำเสมอ เขียนนั่นนิด นี่หน่อย ไม่ปะติดปะต่อ 

อัลหัมดุลิลละฮฺเช้าวันนี้ (วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2558 ตรงกับวันศุกร์ที่ 22 เศาะฟัร ฮ.ศ. 1437) ด้วยตักดีร ของอัลลอฮฺ ซุบหานะฮูวะตะอาลา ได้เริ่มตอนแรกของงานเขียน โดยเขียนในบล็อกที่ตั้งชื่อไว้ว่า"บันทึกจากการอ่าน" ง่ายๆ สั้นๆ ตั้งใจว่าจะบันทึกในสิ่งที่อ่านลงในบล็อกนี้อย่างต่อเนื่อง อินชาอัลลอฮฺ

ทำไมต้องบันทึกในสิ่งที่อ่าน?

เออ นั่นสิ ทำไม? หลายคนอาจจะสงสัย และหลายๆคนทีเดียวที่รู้สึกว่า กว่าจะอ่านหนังสือสักเล่มหนึ่งให้จบเล่มก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากเหลือเกิน แล้วต้องมานั่งบันทึกอีก

คำตอบของคำถามนี้ก็ไม่มีอะไรมาก คือเวลาอ่านหนังสือแล้วบันทึกในสิ่งที่อ่าน มันให้ความรู้สึกและอารมณ์ประมาณได้กลับมาเป็นนักศึกษาอีกครั้ง การอยู่ในสถานภาพนักศึกษานั้นสำหรับผมแล้วมันยอดเยี่ยมมากครับ การเป็นนักศึกษาเปรียบเสมือนกับนักเดินทางที่ท่องเที่ยวและผจญภัยไปในดินแดนแห่งความรู้ที่มีมากมายมหาศาล แม้ผมจะจบชีวิตของการเรียนในระบบไปนานโขแล้ว แต่ผมยังรู้สึกว่าผมยังเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาอยู่ ผมยังต้องเรียนรู้อีกมาก มีสิ่งที่ผมไม่รู้อีกมากมายมหาศาล และในมหาวิทยาลัยแห่งดุนยาสถานนี้ ผมยังคงเป็นนักศึกษา และจะเป็นนักศึกษาไปตลอดชีวิต อินชาอัลลอฮฺ

ในท้ายของบันทึกหมายเลข 1 เกริ่นนำนี้ ขออัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอได้ทรงให้การสนับสนุนช่วยเหลือให้ผมสามารถเขียนบันทึกจากการอ่านได้อย่างต่อเนื่อง และขอทรงให้บันทึกที่เขียนก่อเกิดประโยชน์แก่ผู้สนใจที่เข้ามาอ่าน และขอทรงให้บันทึกต่างๆที่ผมบันทึกเป็นความดีงามทั้งในโลกนี้และโลกหน้าแก่คุณพ่อผู้ล่วงลับ แก่คุณแม่ แก่ผม แก่ภรรยาและลูกๆทุกคน ตลอดจนลูกหลานของผม และประชาชาติอิสลามสืบไป อามีนยาร็อบบัลอาลามีน